เกร็ดความรู้

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552

วิชาความสำเร็จ

Written by wiroj sattanadecha

พวก เราเรียนหนังสือกันมานานหลายปีครับกว่าจะได้ปริญญาเพื่อเริ่มต้นประกอบอาชีพ เป็นหมอ เป็นวิศวกร นักบัญชี โปรแกรมเมอร์ หรืออาชีพอะไรก็ตามในสายงานที่เรียนมา ผมขอถามนะครับว่า "คุณคิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง?" คนส่วนใหญ่จะตอบว่า ตัวเองยังไม่ประสบความสำเร็จ แล้วถ้าอยากสำเร็จต้องทำยังไง ที่นี้คำตอบแต่ละคนก็คงแตกต่างกันใช่ใหมครับ แต่ผมอยากจะบอกว่า ถ้าอยากประสบความสำเร็จต้องทำยังไง คำตอบมันง่ายนิดเดียวครับ ก็ไปเรียนรู้จากคนที่เขาประสบความสำเร็จแล้วว่าเขาทำยังไง เขา ก็จะบอกเองครับว่าเขาทำยังไงถึงประสบความสำเร็จ ยกตัวอย่างคุณตราวุทธิ์ นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงทางด้าน eBusines จะมาเล่าให้ฟังถึงวิธีการทำงานให้ประสบความสำเร็จต้องทำอย่างไรบ้าง การเรียนรู้จากประสบการณ์ของคนสำเร็จเป็นการเรียนลัดที่สุดแล้วครับ



credit http://www.thaimarketer.com/index.php/category/blogs/156-2009-08-22-06-15-50

ป้ายกำกับ: , ,

ทางสายกลาง

Written by wiroj sattanadecha

ทาง สายกลาง ในภาษาบาลีคือ มัชฌิมาปฎิปทา พระพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้เพื่อให้พวกเราใช้ในการดำเนินชีิวิตโดยไม่ตึงหรือ หย่อนจนเกินไป พอดี พอดี ในธุรกิจนี้ผมคิดว่า หลายๆคนคงรู้สึกเีครียดในการทำธุรกิจบ้างในบางครั้งเพราะเป็นลักษณะของตัว ธุรกิจเอง ขอให้เชื่อเถอะว่าปัญหาและอุปสรรคต่างๆนั้นมันจะทำให้เราแกร่งแล้วเข้าถึง ความพอดีของชีวิตได้อย่างแน่นอนครับ เหมือนเชือกที่ขึงตึงไว้ก่อนพอหย่อนลงมันก็จะตึงได้พอดี ไม่เหมือนเชือกที่ไม่เคยถูกขึงมาก่อน เชือกเส้นนั้นจะไม่มีทางทำให้ตึงได้เลย ผมมีเรื่องของชาวประมงในประเทศญี่ปุ่นมาเล่าให้ฟัง ลองอ่านดูครับ

คนญี่ปุ่นชอบเนื้อปลาสด
แต่ทะเลหรือแหล่งน้ำแถบญี่ปุ่นนั้น
ไม่มีปลาชุกชุมมานานหลายทศวรรษแล้ว

ดังนั้น เรือประมงทั้งหลายจึงมีขนาดใหญ่ขึ้น
เพื่อให้สามารถหาปลาได้เพียงพอต่อการบริโภค
ชาวประมงออกไปหาปลาในน่านน้ำที่ไกลออกไป
ยิ่งออกจากฝั่งไปไกล ก็ยิ่งใช้เวลานานกว่าจะนำปลากลับมา
ถ้าออกทะเลไปนานเกิน 2-3 วัน ปลาก็จะไม่สด
และคนญี่ปุ่นไม่ชอบรสชาติแบบนั้น

วิธีแก้ปัญหาก็คือ
บริษัทประมงทำการติดตั้งตู้แช่แข็งเอาไว้บนเรือ
พอจับปลาได้ก็เอาใส่ไว้ในตู้แช่แข็งตั้งแต่ตอนที่ยังอยู่ในทะเล
ทำให้พวกชาวประมงสามารถ ออกไปหาปลาได้ไกลจากฝั่งมากขึ้น

แต่ว่าคนญี่ปุ่นก็สามารถแยกความแตกต่าง
ในรสชาติของเนื้อปลาสดกับเนื้อปลาแช่แข็งได้อยู่ดี และพวกเขาก็ไม่ชอบปลาแช่แข็งเสียด้วย ปลาแช่แข็งจึงมีราคาถูก

เมื่อ เป็นเช่นนั้น บริษัทประมงจึงทำการติดตั้งแท้งค์น้ำ แล้วเอาปลาที่จับได้ใส่ลงไปแต่พอถูกเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา และต้องโคลงเคลงอยู่ในแทงค์นานๆเข้า ปลาก็ไม่ยอมว่าย มันอ่อนล้าแล้วก็เซื่องซึมลง แม้จะยังมีชีวิตอยู่ก็ตาม

โชคไม่ดีที่คนญี่ปุ่นก็ยังสามารถแยกความแตกต่าง
ในรสชาติของเนื้อปลาได้อยู่เหมือนเดิม ปลาเหล่านั้นไม่ให้รสชาติความสดใหม่เสียแล้ว
เพราะว่ามันไม่ได้ว่ายมาหลายวัน

คนญี่ปุ่นชอบรสชาติความสดของปลาใหม่ๆมากกว่าปลาเฉื่อยๆแบบนั้น

บริษัทประมงญี่ปุ่นแก้ปัญหานี้อย่างไร?
พวกเขาจะจับปลาที่ให้รสชาติของความสดใหม่กลับประเทศอย่างไร?
หากคุณจะให้คำปรึกษาแก่อุตสาหกรรมประมง คุณจะแนะนำอย่างไร?

ทางแก้ปัญหาเรื่องปลาของญี่ปุ่น ... ง่ายนิดเดียว

ชาวประมงญี่ปุ่นเค้าจะใส่ปลาไว้ในแทงค์
แล้วก็ใส่ "ปลาฉลาม" ลงไปในแต่ละแทงค์ด้วย
ปลาฉลามอาจกินปลาไปนิดหน่อย
แต่มันทำให้บรรดาปลาส่วนใหญ่มีชีวิตชีวามากขึ้น
ปลาก็ผจญกับเรื่องท้าทาย ไม่เบื่อหน่าย ไม่เป็นปลาที่รอวันตาย

ความท้าทายที่พอดี...

ทำ ให้เราสนุกกับปัญหา สนุกกับสิ่งกระตุ้นใหม่ๆ ที่เข้ามา พอคิดถึงเรื่องท้าทายต่างๆแล้วก็จะรู้สึกมีพลังขึ้นมา ตื่นเต้นที่จะลองวิธีแก้ปัญหาใหม่ๆ แล้วก็รู้สึกสนุกกับมัน


credit http://www.thaimarketer.com/index.php/category/hope/159-2009-08-24-13-36-57

ป้ายกำกับ: , ,

เงินบำนาญ

Written by wiroj sattanadecha

อาชีพ ราชการมีข้อดีกว่าอาชีพทั่วไปโดยต้องสงสัยเลยก็คือ เงินบำนาญ คนจะเห็นคุณค่าของเงินบำนาญอย่างเป็นรูปธรรมก็ตอนที่อายุ 60 ปีเป็นต้นไป ตอนนั้นเรี่ยวแรงในการทำงานก็น้อย แรงใจต่อสู้การงานก็มีไม่มากเหมือนตอนหนุ่มๆ แล้วคนที่ไม่มีเงินบำนาญจะทำยังไงในตอนนั้นละครับ หลายๆคนก็พยายามเก็บเงินไว้มากๆเพื่อเอาไว้ใช้ตอนแก่แต่ปัญหาก็คือไม่มีเงิน ให้เก็บเพราะแค่จะใช้ก็ยังไม่พอ บางคนก็ลงทุนในหุ้นในกองทุนเพื่อหวังเงินปันผล บ้างก็ทำธุรกิจเช่น เป็นเจ้าของกิจการ ทำอพาร์ตเม้นต์ เพื่อเป็นแหล่งรายได้เลี้ยงตัวเองในวัยชรา ทั้งหมดนี้ก็เป็นแนวคิดที่ดีครับ ถ้ามีการวางแผนและดำเนินการอย่างเป็นระบบจะสามารถทำสำเร็จได้เช่นเดียวกัน ครับ ชีวิตบั้นปลายจะได้ไม่ลำบาก

ผมเองก็คิดไม่ต่างกับคนทั่วไปครับ สิ่งที่กล่าวมานั้นผมก็วางแผนและกำลังดำเนินการเหมือนกัน ธุรกิจเครือข่ายก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่ผมอยากให้เพื่อนๆลองศึกษาดู ถึงข้อดีที่ซ่อนอยู่มากมายในธุรกิจนี้ โดยเฉพาะเงินมรดกที่ได้ตลอดชีวิต มองให้ดีก็คือ เงินบำนาญ นั่นเอง หมายความว่าไม่ต้องเป็นข้าราชการก็สามารถมีเงินบำนาญได้ เป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจทีเดียวครับ ทำไว้ไม่มีอะไรเสียหาย ลงทุนน้อยมากๆ ค่อยๆเรียนรู้ ค่อยๆทำไป เนื้องานจะถูกสะสมไปเรื่อยๆ พอรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่ามันเป็นธุรกิจไปแล้ว อยากให้เชื่อแล้วลองศึกษาดูครับ


credit http://www.thaimarketer.com/

ป้ายกำกับ: , ,

อยากทำธุรกิจ แต่ทำอะไรดีละ!


ผม ว่าหลายๆคนก็คงคิดเหมือนกัน คืออยากจะทำธุรกิจอะไรซักอย่าง แต่ไม่รู้จะทำอะไรดี พอดีผมมีแนวทางการเลือกธุรกิจจะมาเล่าให้ฟังครับ เผื่ออาจทำให้เพื่อนๆคิดได้ว่า เราน่าจะทำธุรกิจนี้แหละ เหมาะที่สุดแล้ว

วิธี การเลือกธุรกิจนี้จะยึดตัวเองเป็นหลักครับว่าเหมาะกับอะไร ต้องรู้จักตัวเอง ถ้าไม่รู้ก็ถามคนข้างๆนะครับ โดยปกติคนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยได้มองตัวเอง ให้คนอื่นช่วยมองก็ดีเหมือนกันนะ มีหลักอยู่ 3 ข้อในการเลือกธุรกิจครับ

เลือกธุรกิจ

  1. สำรวจ ตัวเองว่าเราชอบอะไร จดใส่กระดาษไว้เป็นข้อๆเลยนะครับว่าเราชอบทำอะไร ทำแล้วมีความสุข ทำแล้วลืมวันลืมคืน เหมือนเด็กๆที่ชอบเล่นเกมอะไรประมาณนั้นครับ จดใ่ส่กระดาษไว้ก่อนยังไม่ต้องคิดมาก ชอบทำอะไรก็เขียนลงไป

  2. อะไร ที่ ทำแล้วคิดว่าตัวเองเก่ง อาจจะมีบางอย่างที่ทำแล้วคนชม เช่น ร้องเพลงเพราะ อ่านหนังสือเก่งนะ หรือรู้ตัวเองว่าตัวเองเก่งเรื่องนั้นเรื่องนี้ก็ได้ อาจจะถักนิตติ้งเก่ง เขียนโปรแกรมเก่ง ทำ photoshop เก่ง เล่นฟุตบอลเก่ง ทุกอย่างครับ เขียนใส่กระดาษไว้ก่อนแล้วค่อยมาไล่ดูอีกที

  3. อะไร ทำ เงินได้บ้าง ที่นี้ก็มาดูรายการที่เราเขียนไว้ทั้งหมดนั่นแหละครับ ดูเป็นข้อๆ เป็นตัวๆ ไปเลย ว่าอะไรพอที่จะสามารถทำเงินกับเราได้บ้าง ได้น้อย ได้มาก ก็จดไว้ก่อนนะครับ แล้วค่อยมาจัดลำดับอีกที

สุด ท้าย ก็ต้องมาเลือกกันแล้วละครับ ว่าอะไรน่าจะลองลงมือทำก่อนเป็นอันดับแรก ตามรูปด้านบนที่อยู่ตรงกลางนั่นแหละครับ ธุรกิจที่เหมาะสมที่เราจะต้องทำที่สุด แนะนำว่าให้เลือกทำทีละ 1 อย่างนะครับ อย่างทำหลายๆอย่างพร้อมกัน เพราะว่ามันจะไม่ได้ดีซักอย่าง ถ้าใครทำงานประจำจะรู้ดีว่าเวลาที่เราใช้ไปส่วนใหญ่จะอยู่ที่ทำงานและก็นอน อาจจะต้องมีเวลาให้ครอบครับ เวลาแห่งความบันเทิง สุดท้ายแล้วก็คงเหลือเวลาทำธุรกิจ 2-3 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้นเอง อีกอย่างอยากให้ตระหนักในเรื่องให้เิกิดคุณค่ามากที่สุด (Productivity) ไม่ใช่่ใช้เวลาทำมากแต่ได้งานน้อย (Activity) มีเทคนิคอยู่นิดหนึ่ง ให้ลองคิดดูว่า เรามีค่าแรงต่อชั่วโมงเท่าใหร่ โดยเอารายได้ทั้งปี หารด้วย 52 สัปดาห์ แล้ว หารด้วย 40 ชั่วโมง ก็จะทราบแล้วว่า ค่าแรงเราชั่วโมงเท่าใหร่ สมมุติค่าแรงเรา ชั่วโมงละ 200 บาท เราอาจกำลังทำเว็บไซต์อันหนึ่ง อยากจะได้โลโก้สวยๆซักอัน แต่ว่าเรารู้ตัวดีว่าเราทำโปรแกรมกราฟฟิคไม่เก่ง กว่าจะได้มาซักรูป ปาเข้าไป 3-4 ชัวโมง แต่ถ้าวานให้เพื่อนทำให้ หรือจ้างเขา อาจจะ 200 บาท ก็เท่ากับค่าแรงเราแค่ 1 ชั่วโมงเอง แสดงว่าจ้างเขาทำคุ้มกว่าทำเอง ตั้ง 3-4 เท่า เราก็เอาเวลาที่เหลือไปทำสิ่งที่เราถนัดดีกว่า เช่นอาจจะเขียนโปรแกรมเก่ง ก็ไปทำโปรแกรมซะ แนวคิดก็ประมาณนี้นะครับ อีกอย่างเราต้องรู้ตัวเองว่าเก่งอะไรก็ทำอันนั้นดีที่สุด อันใหนไม่เก่งก็พยายามหาคนทำให้ (Outsource) นี่คือหลักการทำงานแบบ Productive ครับ ลองไปประยุกต์ใช้ดูนะครับ

ป้ายกำกับ: , , , ,

แผ่นพับการเพาะเห็ดฟาง บนชั้นวางของ

http://www.tu.ac.th/org/clinictech/brochures/brochures_11.jpg

ป้ายกำกับ: ,

ขั้นตอนการเพาะเห็ดฟางตะกร้าอย่างง่าย









1. ทุบก้อนเชื้อ(ได้จากการเพาะเห็ดในถุงพลาสติก) ให้แตกพอแหลก แต่ไม่ต้องละเอียด

2. ใส่วัสดุเพาะลงในตะกร้าสูงประมาณ 2-3 นิ้ว กดให้พอแน่น และ ให้ชิดขอบตะกร้า

3. โรยผักตบชวาที่หั่นไว้ ลงบนวัสดุเพาะ โดยรอบ

4. นำเชื้อเห็ดฟางมาโรยบนวัสดุเพาะได้เป็น ชั้นที่ 1

5. ทำชั้นที่ 2 และ 3 ด้วยวิธีการเดิม ปิดชั้นที่ 3 ด้วยวัสดุเพาะ ได้เป็น 1 ตะกร้า

6. นำตะกร้าเห็ดฟางใส่กระโจมเพาะเห็ดฟาง

7. รักษาอุณหภูมิในโรงเรือนให้อยู่ที่ 33-38 องศา เมื่อเส้นใยเดินเต็มวัสดุจึงรดน้ำด้วยบัวฝอย

8. เมื่อเกิดตุ่มดอกแล้วรักษาอุณหภูมิให้อยู่ระหว่าง 28-32 องศา ช่วงนี้เห็ดฟางจะเจริญเติบโตขึ้น

9. เก็บดอกตูม หัวพุ่ง ของเห็ดฟาง ให้ชิดรูตะกร้า

รูปแบบกระโจมที่ใช้เพาะเห็ดฟางในตะกร้า

กระโจมแบบเต็นท์ลูกเสือ

กระโจมแบบสุ่มไก

ป้ายกำกับ: ,

แนะพ่อแม่ตรวจก่อนมีลูกลดเสี่ยงลูกป่วย




แนะพ่อแม่ตรวจก่อนมีลูกลดเสี่ยงลูกป่วย"โรคธาลัสซีเมีย" (คมชัดลึก)


"เชื้อสายคนไทยเราถือว่ามีภาวะแฝงของธาลัสซีเมียสูงมาก เมื่อเทียบกับประชากรโลกในภูมิภาคต่างๆ จากการสำรวจและประเมิน คนไทยเรามีภาวะแฝงธาลัสซีเมียชนิดต่างๆ อยู่ประมาณ 1 ใน 3 ของพลเมืองทั้งประเทศ หรือประมาณ 20 ล้านคน"

เรื่องนี้ได้รับคำยืนยันจาก รศ.นพ.ปรีดา วาณิชยเศรษฐกุล กุมารแพทย์ด้านการปลูกถ่ายไขกระดูก คลินิกธาลัสซีเมีย ศูนย์กุมารเวชกรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพ ว่า ถ้า สายพันธุกรรมของตำแหน่งการสร้างเม็ดเลือดแดงมีความบกพร่องขาดหายหรือผิดปกติ ทางโครงสร้างไปทั้ง 2 ข้าง ผู้ที่มีสายพันธุกรรมลักษณะนี้ เรียกว่า ผู้ป่วยโรค "ธาลัสซีเมีย" จะมีโรคโลหิตจางเกิดขึ้นอุบัติการของคนไทย ที่ป่วยเป็นโรค "ธาลัสซีเมีย" ชนิดต่างๆ มีสูงถึงประมาณร้อยละ 1 หรือประมาณ 6 แสนคน แต่ไม่ได้หมายความว่า ผู้ป่วยทุกคนจะมีอาการรุนแรง ผู้ป่วยส่วนใหญ่กว่า 4 แสนคน เป็นโรคธาลัสซีเมียชนิดเอช ซึ่งเกิดจากแอลฟ่า 1 ผนวกกับแอลฟ่า 2 หรือผนวกกับซีเอส จะมีอาการซีดน้อยถึงปานกลาง ไม่รุนแรงนัก

"ธาลัสซีเมีย" มาจากภาษากรีกโบราณ ต่อมาถูกนำมาใช้ทางการแพทย์หมายถึง การสร้างเม็ดเลือดแดงผิดปกติ ตาม ปกติมนุษย์เราจะสร้างเม็ดเลือดแดงลักษณะคล้ายรูปจาน หรือรูปร่างคล้ายยางรถยนต์ หรือขนมโดนัท คือลักษณะเป็นเซลล์กลมๆ ที่มีรอยหวำตรงกลาง เม็ดเลือดแดงจะไหลเวียนไปตามกระแสเลือดเพื่อนำออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย ซึ่งเม็ดเลือดแดงสร้างจากไขกระดูกหรืออีกนัยหนึ่งสร้างและพัฒนาเติบโตจาก เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิตที่อยู่ภายในโพรงไขกระดูก ไขกระดูกนั้นก็คือเนื้อเยื่อที่อยู่ภายในหรือแกนในกระดูก

ผู้ป่วย "ธาลัสซีเมีย" ก็คือภาวะที่สายพันธุกรรมในตำแหน่งของการสร้างเม็ดเลือดแดงขาดหายไปยัง ครอบคลุมไปถึงภาวะที่สายพันธุกรรมในตำแหน่งของการสร้างเม็ดเลือดแดงมีการ เปลี่ยนแปลงในโครงสร้าง ทำให้มีการสร้างสารฮีโมโกลบินชนิดแปลกแตกต่างจากปกติด้วย ซึ่งธาลัสซีเมียในประชากรไทยมีหลายชนิดที่พบบ่อยก็คือ แอลฟ่า1 และแอลฟ่า2 ชนิดเบต้า ชนิดอี ชนิดซีเอส

แม้ "ธาลัสซีเมีย" เป็นโรคร้ายแต่ป้องกันได้ รศ.นพ.ปรีดา แนะนำว่า โรคโลหิตจางธาลัสซีเมียถือเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ โดยพ่อแม่มักเป็นภาวะแฝงหรือพาหะ จึงไม่มีอาการ หากทั้งคู่แต่งงานกันโอกาสที่ลูกแต่ละคนจะเป็นโรคธาลัสซีเมียจึงเท่ากับ 1 ใน 4 หรือร้อยละ 25 โอกาสเป็นภาวะแฝงเท่ากับ 2 ใน 4 และโอกาสเป็นปกติเท่ากับ 1 ใน 4

"หมอ แนะนำคู่สมรสหรือสามีภรรยา ที่ยังไม่ทราบว่าตนเองมีภาวะแฝงธาลัสซีเมียหรือไม่ ควรตรวจเลือดอย่างละเอียด ถ้าพบว่ามีภาวะแฝงทั้งคู่ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทางโรคเลือด เพื่อดูว่ามีความเสี่ยงที่ลูกจะป่วยเป็นโรคธาลัสซีเมียหรือไม่ หากลูกเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ชนิดรุนแรง และภรรยาตั้งครรภ์ แพทย์สามารถให้การวิเคราะห์วินิจฉัยด้วยวิทยาการที่ทันสมัย ได้ตั้งแต่อายุครรภ์อ่อนๆ" รศ.นพ.ปรีดา ระบุ

รศ.นพ.ปรีดา แนะนำว่า ผู้ที่มีภาวะแฝง มักจะไม่มีอาการซีด ไม่อ่อนเพลีย การเจริญเติบโตเหมือนปกติ ไม่มีตับหรือม้ามโต สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องรับการรักษาใดๆ ทั้งสิ้น มีอายุขัยเหมือนคนปกติ แต่กรณีผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียชนิดที่รุนแรงที่สุดคือชนิดแอลฟ่า1 ผนวกกับแอลฟ่า 2 เด็กจะซีดรุนแรง บวมน้ำ ตับม้ามโต หัวใจวายตั้งแต่ระยะท้ายในครรภ์แม่และเสียชีวิตเมื่อคลอดออกมา และแม่ที่อุ้มท้องก็อาจเกิดครรภ์เป็นพิษได้

ไม่เพียงเท่านั้น ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบต้าธาลัสซีเมียทุกรายและโรคเบต้าธาลัสซีเมียฮีโมโกลบิน อีบางราย แม้จะยังไม่มีอาการซีดในช่วงแรกของชีวิต แต่จะมีอาการซีดรุนแรงมากขึ้นตั้งแต่ก่อนอายุ 6 เดือนเป็นต้นไป มีตับโตม้ามโต ผู้ป่วยส่วนใหญ่จำเป็นต้องได้รับเลือดทดแทนเป็นประจำสม่ำเสมอทุก 3-4 สัปดาห์ จึงจะยังมีชีวิตอยู่ได้และเจริญเติบโตได้ดี ถ้าไม่ได้รับเลือดทดแทนจะเติบโตช้า ตัวเตี้ย แคระแกร็น อาจมีหน้าตาเปลี่ยน หน้าผากนูน โหนกแก้มสูง ดั้งจมูกแบน มีร่างกายอ่อนแอ ท้องโตป่อง เพราะตับม้ามโต เสี่ยงต่อภาวะหัวใจล้มเหลวและมีอายุสั้นกว่าเด็กปกติ

การดูแลรักษา นอกจากได้รับเลือดแล้ว รศ.นพ.ปรีดา เตือ นให้พึงระวังเพราะผู้ป่วยที่ได้รับเลือดเป็นเวลานานๆ มักมีภาวะธาตุเหล็กสะสมเกินขนาดในร่างกาย จะทำให้ผิวหนังคล้ำเข้ม เป็นพิษทำลายตับ ตับอ่อน ระบบต่อมไร้ท่อ และหัวใจ ผู้ป่วยกลุ่มนี้จึงควรได้รับยาขับเหล็ก ไม่ว่าชนิดฉีดหรือชนิดรับประทาน ควบคู่ไปกับการรับเลือดต่อเนื่องไปตลอดชีวิต ขณะเดียวกัน ควรจะรับประทานยาบำรุงเม็ดเลือด เรียกว่ายากรดโฟลิกไปตลอด

เหนือ อื่นใด ปัจจุบันการแพทย์มีวิธีการรักษาผู้ป่วยเด็กโรคโลหิตจางเบต้าธาลัสซีเมีย และโรคเบต้าธาลัสซีเมียฮีโมโกลบินอี ที่มีอาการรุนแรง ให้หายขาดสำเร็จได้ด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต (Hematopoietic Stem Cell Transplantation) หรือการปลูกถ่ายไขกระดูกจากผู้บริจาคที่มีหมู่เนื้อเยื่อ HLA ตรงกันหรือเข้ากันได้กับผู้ป่วย ผู้บริจาคอาจจะเป็นพี่น้อง หรืออาสาสมัครที่ไม่ใช่เครือญาติ เป็นที่น่ายินดีว่าจำนวนอาสาสมัครผู้ยินดีบริจาคสเต็มเซลล์ (Stem Cell Donor Registry) ของประเทศไทยโดยสภากาชาดไทย มีจำนวนมากขึ้น ผู้สนใจเรื่องเกี่ยวกับธาลัสซีเมีย สามารถสอบถามได้ที่ ศูนย์กุมารเวชกรุงเทพ โทร.0-2310-3006 หรือที่คอนแทกท์เซ็นเตอร์ โทร. 1719 (24 ชม.)


credit www.kapook.com

ป้ายกำกับ: , , , ,